เกือบ 1 ใน 3 คนเพศมีส่วนเกี่ยวข้องกับความยากจนในสหรัฐฯสิ่งที่เราควรทำ?

การสัมภาษณ์ทางโทรศัพท์ทำได้ดีสำหรับไมเคิล ผู้บังคับบัญชาที่เขาพูดกับกล่าวว่าประสบการณ์ของเขาดูดีและเขารู้สึกตื่นเต้นที่จะได้พบกับเขา

แต่ผู้บังคับบัญชายังคิดว่าไมเคิลเป็นผู้หญิงด้วยเช่นกันในชื่องานของเขา ในขณะที่ไมเคิลระบุว่าเป็นชายเขาก็ไม่ได้เริ่มเปลี่ยนเอกสารของเขาเมื่อเขาใช้สำหรับตำแหน่งเป็นที่ปรึกษาค่ายฤดูร้อน เป็นผลให้ประวัติของไมเคิลมีชื่อเดิมของเขาในนั้น

ไมเคิลมาสวมชุดเดรสเสื้อผูกโบว์และกางเกงทรงหลวม ด้วยรอยยิ้มและมือของเขายื่นออกมาเขาทักทายผู้สัมภาษณ์ เขาบอกว่าเขาไปโดยไมเคิลและเขาใช้สรรพนามชาย ผู้สัมภาษณ์ไม่สนใจมือของเขา

ในระหว่างการสัมภาษณ์ไมเคิลกล่าวว่าชายคนนั้นนั่งตรงข้ามเขามองลงไปที่ประวัติและปฏิเสธที่จะติดต่อกลับ เขาพิงไมเคิลเมื่อเขาถามเขาเกี่ยวกับประสบการณ์ของเขา เขาเรียกไมเคิลด้วยชื่อเดิมของเขาและใช้สรรพนามเก่าของเขาหลายครั้งตลอดการสัมภาษณ์

"เขาไม่สามารถออกไปไกลจากฉันได้" ไมเคิลถามว่าจะต้องระบุด้วยชื่อของเขาเท่านั้น

ผู้สัมภาษณ์บอกไมเคิลว่าเขาจะได้ยินเรื่องตำแหน่งนี้ในอีกไม่กี่วันข้างหน้า ไมเคิลไม่เคยโทรศัพท์มา

"คุณสามารถบอกได้เมื่อมีคนไม่ต้องการพูดคุยกับคุณ" เขาพูดว่า. "ไม่เพียง แต่ทำร้ายผู้อื่นเท่านั้น แต่รู้ว่ามีคนอึดอัดอยู่ในห้องเดียวกับที่ฉันรู้สึกแย่ ๆ นิดหน่อย"

ต่อไปนี้คือสิ่งที่คนเพศจำนวนมากหันหน้าเข้ามาในที่ทำงาน

วันนี้ไมเคิลถูกว่าจ้าง - แต่ บริษัท ที่เขาทำงานไม่ทราบว่าเขาเป็นคนส่ง

ไมเคิลไม่ได้เป็นคนเดียวในประสบการณ์ของเขา: ศูนย์สำรวจความเสมอภาคแห่งชาติของสหรัฐฯเรื่องการแปลงเพศของสหรัฐอเมริกาในปี พ.ศ. 2558 ซึ่งเป็นงานสำรวจเพศที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในสหรัฐฯจำนวน 27,715 รายพบว่า 53% ของผู้ตอบแบบสอบถามที่ทำงานในปีที่ผ่านมาได้ซ่อนตัวตนของตนในที่ทำงานเพื่อหลีกเลี่ยงการเลือกปฏิบัติ การสำรวจเดียวกันพบว่า 30% ของผู้ที่มีงานทำในปีที่ผ่านมารายงานว่าถูกไล่ออกปฏิเสธโปรโมตหรือประสบกับรูปแบบอื่น ๆ ของการกระทำทารุณในที่ทำงานเนื่องจากความเป็นตัวตนหรือการแสดงออกทางเพศของพวกเขา

นั่นเป็นเหตุผลที่ Lucas Whele, ผู้ประสานงานด้านการดูแลผู้ย้ายถิ่นฐานที่ Metro Wellness Center ในเซนต์ปีเตอร์สเบิร์กฟลอริดาได้กล่าวว่า "ฉันไม่ได้ไปหานายจ้างของฉัน - คุณแนะนำอะไร?"

ชายผู้แปลงเพศคนนั้นเป็นผู้รับผิดชอบในการช่วยให้คนข้ามสามารถหาแหล่งข้อมูลที่จำเป็นสำหรับทุกอย่างได้จากการเปลี่ยนเอกสารทางกฎหมายเพื่อให้ได้รับการดูแลสุขภาพที่เหมาะสม

"ฉันไม่รู้ว่านายจ้างเป็นอย่างไร" ลูคัสกล่าว "ฉันสามารถแนะนำสิ่งต่างๆได้ แต่ในตอนท้ายของวัน, ข้อเสนอแนะที่ปลอดภัยที่สุดของฉันคือเพื่อให้ผู้คนมั่นใจได้ว่าพวกเขามีเป็ดอยู่แถว ๆ กันและเตรียมพร้อมสำหรับสิ่งที่แย่ที่สุด. ถ้าคุณคิดว่ามันจะไปอย่างน่ากลัวก็อาจจะไปอย่างน่ากลัว. "

เมื่อประธานาธิบดีโดนัลด์ทรัมพ์ประกาศห้ามไม่ให้มีการเปลี่ยนเพศผู้ให้บริการทางทหารเมื่อวันที่ 26 กรกฎาคม พ.ศ. 2560 พนักงานประมาณ 15,500 คนต้องเผชิญกับความเป็นไปได้ที่จะถูกเลิกจ้าง เดอะวอชิงตันโพสต์รายงานว่าทหารเป็นนายจ้างรายใหญ่ที่สุดคนหนึ่งของโลกในโลก

กระทรวงยุติธรรมได้สั่งห้ามการระงับการอนุญาตให้คนแปลงเพศเข้าร่วมการทหาร แต่รัฐบาล Trump ยังคงปกป้องการห้ามคดีต่อหลายคดี

Taliyah Cassadine ซึ่งเป็นหญิงวัยเพศชายอายุ 35 ปีที่ทำหน้าที่ในกองทัพตั้งแต่ปี 2000 ถึงปี 2004 ขณะที่เธอยังระบุว่าเป็นผู้ชายซึ่งขัดแย้งกับเหตุผลที่ทรัมพ์ให้คำมั่นในเรื่องการห้ามใช้ซึ่งทำให้คนทรานส์สามารถให้บริการได้ทำให้เกิดค่าใช้จ่ายทางการแพทย์และการหยุดชะงัก "- บอกว่าคนแปลงเพศมักจะเปลี่ยนร่างกายในช่วงเวลาที่ลาออก

"ดังนั้นใครจะบอกว่าผู้หญิงทรานส์หรือชาย trans ไม่สามารถให้บริการเวลาของพวกเขาในการทหารและพวกเขาได้รับเงินทุกวันที่ 1 และวันที่ 15 ประหยัดเงินของพวกเขาและจ่ายเงินสำหรับมันเอง?" Taliyah กล่าวว่า "ไม่มีใครบอกว่าพวกเขาเคยขอให้รัฐบาลจ่ายอะไรและฉันคิดว่านั่นเป็นปัญหาใหญ่ที่สุด"

เธออธิบายว่า "การเลือกปฏิบัติที่ดีที่สุด

การสำรวจเกี่ยวกับผู้อพยพของสหรัฐอเมริกาในปี 2015 ประเมินอัตราการว่างงานในชุมชนแปลงเพศที่ 15% ในช่วงเวลาที่ทำการสำรวจพบว่าอัตราการว่างงานโดยรวมอยู่ที่สามเท่าในสหรัฐฯ การว่างงานสูงก่อให้เกิดอัตราความยากจนส่ายประมาณ 33% ในชุมชนทรานส์, ซึ่งเป็นอัตราสองเท่าของประชากรสหรัฐฯโดยทั่วไป

แต่วงจรความยากจนมักเริ่มต้นขึ้นนานก่อนที่คนแปลงเพศจะพยายามหางานทำ

Delores T. Van-Cartier ซึ่งเป็นผู้หญิงที่เป็นเพศชายและเป็นนักแสดงที่ลากเส้นที่ Hamburger Mary's ซึ่งเป็นมิตรกับ LGBTQ กล่าวว่าหลายคนในชุมชน trans เปลี่ยนไปทำงานเพศเป็นผล ผลสำรวจของสหรัฐอเมริกาพบว่า 1 ใน 5 ของผู้ตอบแบบสอบถามได้เข้าร่วมในระบบเศรษฐกิจใต้ดินเพื่อหารายได้ในบางช่วงเวลาและ 12% ทำธุรกิจทางเพศเพื่อแลกกับรายได้

"พวกเขากลัวที่จะออกไปหางานจริงเพราะกลัว" Van-Cartier กล่าว “พวกเขากลัวที่จะถูกค้นพบ; พวกเขาไม่ต้องการคัดค้านหรือปฏิเสธ ดังนั้นพวกเขาออกไปและพวกเขามองหางานที่พวกเขาจะไม่ต้องรับมือกับการถูกเรียกว่าชื่อในสำนักงานของพวกเขาทุกวันเพราะที่หยาบ คุณต้องมีผิวหนาในชีวิตนี้ "

เราสามารถทำอะไรเกี่ยวกับการเลือกปฏิบัติ Anti-Trans?

ในขณะที่การสำรวจผู้ใช้เพศในสหรัฐอเมริกาในปี พ.ศ. 2558 พบว่าการเลือกปฏิบัติอย่างต่อเนื่องของคนที่เผชิญหน้ากับคนเหล่านี้ก็มีมากขึ้น

มากกว่าครึ่งหนึ่งของผู้ตอบแบบสอบถามรายงานว่าครอบครัวของพวกเขาได้รับการสนับสนุนจากพวกเขาที่ถูกทรานส์ มากกว่าสองในสามที่ออกไปร่วมงานของพวกเขากล่าวว่าพวกเขาสนับสนุน สำหรับนักเรียนมากกว่าครึ่งหนึ่งรายงานว่าเพื่อนร่วมชั้นของพวกเขาสนับสนุนพวกเขา

กลุ่มต่างๆเช่นสหภาพเสรีภาพพลเมืองอเมริกันและแลมบ์ดากฎหมายทำงานเพื่อปกป้องสิทธิของชุมชนแปลงเพศทั้งโดยผ่านกฎหมายและโดยการเป็นตัวแทนของผู้ที่ได้รับการเลือกปฏิบัติ

"เรากำลังต่อสู้กับการเลือกปฏิบัติในการจ้างงานที่อยู่อาศัยและสถานที่สาธารณะรวมทั้งห้องสุขา เรากำลังดำเนินการเพื่อให้แน่ใจว่าคนทรานส์ได้รับการดูแลสุขภาพที่พวกเขาต้องการและเรากำลังท้าทายอุปสรรคในการเปลี่ยนเครื่องหมายเพศในเอกสารระบุตัวตนและได้รับการเปลี่ยนแปลงชื่อตามกฎหมาย "เว็บไซต์ของ ACLU ระบุ

ยังคงศูนย์แห่งชาติเพื่อความเท่าเทียมกันทางเพศแจ้งเตือนคนที่ "กฎหมายเกี่ยวกับหนังสือไม่ได้แปลเป็นความยุติธรรมอย่างแท้จริง"

กฎหมายแลมบ์ดามีทั้งหน้าทุ่มเทให้กับนายจ้างและวิธีที่พวกเขาสามารถทำให้สถานที่ทำงานของพวกเขารวมทุกอย่างโดยทำตามขั้นตอนเช่นการสนับสนุนสิทธิของพนักงานในการใช้ห้องส้วมที่สอดคล้องกับอัตลักษณ์ทางเพศของพวกเขาการฝึกอบรมและการทำสัญญาความหลากหลายกับผู้ให้บริการประกันสุขภาพที่ครอบคลุม ค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลง

แต่น่าเสียดายที่สำหรับผู้ที่อยู่ในชุมชนแปลงเพศที่จัดการกับการเลือกปฏิบัติ, คำแนะนำที่ดีที่สุดที่ลูคัสสามารถให้ได้คือการนำเสนอในเพศที่ได้รับมอบหมายอย่างน้อยก็ชั่วคราว

ที่ช่วยให้คนประหยัดเงินได้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้และเริ่มต้นค้นหาที่ทำงานที่เป็นมิตรกับ LGBTQ

"มันเป็นเรื่องที่น่ารังเกียจและฉันเกลียดที่จะพูด แต่บางครั้งนั่นคือทั้งหมดที่คุณสามารถทำได้" เขากล่าว "แต่เพื่อที่จะได้รับสถานที่ที่คุณจะสบายคุณอาจต้องทำเพื่อที่จะอยู่รอด."

แต่ลูคัสกล่าวเพิ่มเติมว่า: "ในบางแห่งผู้ที่ไม่มีอยู่จริง"

Kelly Anne Smith เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านเนื้อหาอีเมลที่ The Penny Hoarder จับเธอไว้ที่ Twitter ที่ @keywordkelly